รีวิว Kingdom of the Planet of the Apes อาณาจักรแห่งพิภพวานร

หลังจากห่างหายไป 7 ปี นับตั้งแต่ภาค War for the Planet of the Apes ในปี 2017 และกว่า 56 ปีนับตั้งแต่ภาพยนตร์ภาคแรกในปี 1968 นี่จึงเป็นภาค Kingdom of the Planet of the Apes ที่ถือว่าเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบของแฟรนไชส์ไซไฟอิงการเมืองสุดโด่งดังนี้ ที่มีไตรภาคมาอย่างต่อเนื่องกว่าทศวรรษจริงๆ เรียกได้ว่ากลับมาให้หายคิดถึงและพาความมันส์พร้อมกับเรื่องราวที่สุดแสนเกินจะบรรยาย จะเป็นอย่างไรนั้นต้องมารับชมกัน

 

Kingdom of the Planet of the Apes อาณาจักรแห่งพิภพวานร จะเล่าถึงเรื่องราวหลังจากการระบาดของเชื้อไวรัสซีเมียนเมื่อ 300 ปีก่อน มนุษย์สูญเสียความสามารถในการพูดคุยทันที จนทำให้เหล่าวานรพัฒนาสติปัญญาและก่อตั้งเผ่าต่างๆ ขึ้นมา โดยเราจะติดตามเรื่องราวของโนอา วานรจากเผ่าอินทรีที่เลี้ยงและควบคุมนกอินทรีได้ หลังจากเผ่าของเขาถูกวานรใส่หน้ากากจับตัวไป โนอาจึงออกเดินทางเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ระหว่างทาง เขาได้พบกับรากา อูรังอุตังชราผู้พยายามรวบรวมความรู้ของซีซาร์ ผู้นำวานรในอดีต และเม มนุษย์หญิงสาว โดยพวกเขาต้องร่วมกันเพื่อต่อสู้กับพร็อกซิมัส วานรเผด็จการที่ต้องการทำลายมนุษยชาติและครองอำนาจเหนือเหล่าวานรทั้งปวง

 

แม้ผู้กำกับ Wes Ball จะตั้งใจให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็น Apocalypse และ Avatar แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เพราะฉากเปิดที่เน้นการผจญภัยและเทคนิคพิเศษชวนให้นึกถึงเรื่องอวตารก็จริง แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็นว่าหนังได้หยิบยืมองค์ประกอบอย่างการแบ่งสังคมวานรออกเป็นเผ่าต่างๆ และการเน้นพิธีกรรมความเชื่อเฉพาะเผ่า จนกลายเป็นจุดอ่อนของเรื่องที่ตัวบทภาพยนตร์ที่ไม่สามารถผสานองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ทำให้หนังเกิดการขาดความสมดุลและไม่สามารถสร้างความประทับใจได้เท่าที่ควร

 

ในเฉพาะในการเล่าเรื่องราวของฝูงลิงที่เหล่าตัวละครหลักกลับมีพัฒนาการในเรื่องออกมาจำกัดไปหน่อย น่าเสียดายมากๆ แม้ว่าการเปิดเรื่องจะสร้างความน่าสนใจด้วยการแสดงทักษะการปีนหน้าผาของโนอาและมิตรภาพอันแน่นแฟ้นกับลิงเพื่อนรักอีกสองตัว แต่หลังจากผ่านจุดเริ่มต้นเรื่องที่อลังการตรงนี้ไปแล้ว หนังกลับเบี่ยงเบนไปจากเส้นเรื่องหลักอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะไม่ยอมที่จะให้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับเผ่าอินทรีมากกว่านี้ อีกทั้งบทบาทของลิงเพื่อนรักสองตัวก็ค่อยๆ จางหายไปจากหนัง และปรากฏตัวอีกครั้งในช่วงท้ายเรื่องเท่านั้น

 

แม้ว่าโครงเรื่องส่วนใหญ่ของหนังนั้นจะมุ่งเน้นไปที่ความขัดแย้งระหว่างวานรของพร็อกซิมัสและโนอา แต่ตัวละครทั้งสองกลับขาดการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญจริงๆ พร็อกซิมัสเป็นตัวร้ายที่โหดเหี้ยมและไร้มิติ ในขณะที่โนอาซึ่งถูกวางให้เป็นตัวละครหลักและผู้นำเผ่าในอนาคตกลับไม่ได้รับการพัฒนาการนำเสนอด้านตัวละครให้มีมิติเลย ถึงแม้ว่าจะมีการนำไข่นกมาใช้ในพิธีสร้างพันธมิตร แต่เรื่องราวก็ถูกตัดจบลงอย่างรวดเร็วเพื่อให้ความสำคัญกับฉากแอ็กชันและเอฟเฟกต์ภาพมากขึ้น ซึ่งก็โอเคในกลุ่มผู้ชมที่ชื่นชอบหนังแนวๆ ที่มีบทสนทนาน้อยๆ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่อง Godzilla X Kong The New Empire แล้ว พิภพวานร ยังคงมีบทพูดและการเล่าเรื่องที่มากกว่าอยู่ดี

 

ถึงจะมีข้อบกพร่องในด้านการพัฒนาตัวละคร แต่ก็ยังคงมีประเด็นสังคมที่สำคัญน่าสนใจทีเดียว เพราะเลือกจะสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในโลกแห่งความจริง ทั้งจากภาคก่อนที่ก็แทรกความเป็นสงครามเย็นและการคุกคามของสงครามนิวเคลียร์ ในขณะที่ไตรภาคใหม่ก็ได้แทรกเนื้อหาจากเหตุการณ์ Arab Spring ผ่านการใช้ลิงเป็นตัวแทนของผู้ที่ถูกกดขี่ซึ่งต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากผู้กดขี่นั่นเอง

 

ส่วนในภาคนี้ผู้สร้างได้หยิบยกประเด็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์มาใช้เป็นเชื้อไฟในการดำเนินเรื่อง โดยตัวละครพร็อกซิมัสอ้างคำพูดของซีซาร์เพื่อปลุกระดมให้เกิดสงครามและขึ้นครองบัลลังก์เหนือเหล่าวานร เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกับสงครามในโลกแห่งความเป็นจริงที่มักอ้างอิงถึงความเชื่อและประวัติศาสตร์เพื่ออ้างสิทธิ์เหนือดินแดน เช่นเดียวกับที่พร็อกซิมัสพยายามทำแบบนั้นเหมือนกัน โดยการเรียกตัวเองว่า ซีซาร์ เพราะนั้นเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของซีซาร์ตัวจริง ซึ่งเป็นวานรผู้เสียสละตนเองเพื่อความสงบสุขของเผ่าพันธุ์ เราจึงได้เห็นถึงความบ้าอำนาจและการใช้คำพูดของผู้อื่นเพื่อประโยชน์ส่วนตน

 

โดยรวมก็สรุปว่า Kingdom of the Planet of the Apes  อาณาจักรแห่งพิภพวานร เป็นภาพยนตร์สนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่มีเนื้อหาน่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบแฟรนไชส์ Planet of the Apes อยู่แล้วด้วยต้องติดตามแน่นอน เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกหลังสงครามอันยิ่งใหญ่ของซีซาร์ โดยสำรวจมาตรฐานของสังคมวานร แถมยังมีคุณภาพด้านงานสร้างที่ยอดเยี่ยมและอลังการสุดๆ แม้ว่าอาจมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สนุก ครบรส หลากหลายอารมณ์และความประทับใจในตอนจบอย่างแน่นอน